แม้จะอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ และไม่ได้ออกนอกบริเวณ
แต่จิตใจกลับกว้างใหญ่ ได้กลับมาอยู่ในบรรยากาศที่อบอวลด้วยความสุขที่ธรรมชาติมอบให้อีกครั้ง ได้สัมผัสพลังของธาตุในแต่ละช่วงของวัน จากความมืดแห่งราตรีกาลสู่แสงอรุณยามเช้าที่สาดส่องภูเขา จากความหนาวต้องกายสู่ความอุ่นของแสงอาทิตย์ในยามที่เขียนหนังสือนี้ เสียงนานาชนิดขับกล่อมโยคีผู้กลับมาสู่อ้อมอกของธรรมชาติและความเป็นตัวตนเดิมแท้อันล่อนจ้อน
ยามบ่ายหลังการปฏิบัติอันหนักหน่วงใน 4 ช่วงได้ผ่านไป เสียงกลองประโคมสรรเสริญเหล่าพระผู้ปกป้องพระธรรมและประกาศชัยชนะแห่งพระธรรม นอกหน้าต่าง ควันที่นำกลิ่นหอมของกำยานและแป้งข้าวบาร์เลย์กระจายไปทั่ว นำความหวังและความเบิกบานมาสู่โลก ด้วยยุคสมัยของเราจะไม่มีวันขาดมารดาผู้ปกป้องจากอวิชชา ที่ทำให้เห็นศัตรูเป็นศัตรู
ใกล้ตะวันตกดิน โยคีผ่อนกายบนหญ้านุ่ม ตามมองท้องฟ้า ความกว้างใหญ่อันไม่มีประมาณ ตาลืมอยู่เช่นนั้น ไม่ตามความคิด ไม่เพ่งพินิจสิ่งใด นี่คือการฝึกฝนหนึ่งสำหรับการ “ดู” ธรรมะจากแสง ที่จะน้อมนำให้เราได้สัมผัสปัญญาญาญาณ “พระพุทธเจ้าเดิมแท้” ดวงประทีปแห่งตัวตน ที่ดำรงอยู่กลางพระราชวังแห่งมหาสุขที่กลางใจ เมื่อแสงอาทิตย์จากไป ความมืดดำปกคลุมผืนป่าจนบดบังภูเขาที่สูงตระหง่าน เตือนใจให้นึกถึงความไม่เที่ยง การแปรเปลี่ยนของสรรพสิ่ง
ในยามค่ำนั้น เราเป่าปี่ เปล่งเสียงแห่งความกรุณา แล้วเชื้อเชิญผู้หิวโหยทั้งหลายมารับทานและผลบุญจากการปฏิบัติ ในคืนอันแสนสุขของแต่ละวันจบด้วยบทมนตราแห่งความกรุณาและบทสวดทงเลน น้อมนำความทุกข์ของสัตว์โลกเข้ามาและมอบความสุขให้แก่พวกเขา
กฤษดาวรรณ เมธาวิกุล
17 กุมภาพันธ์ 2560